เมนู

8. ติตถิยสูตร



ว่าด้วยความแตกต่างเเห่งอกุศลมูล 3



[508] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพาชก1 ผู้ถือลัทธิอื่น จะพึง
ถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ธรรม 3 นี้ ธรรม 3 คืออะไร คือ ราคะ
โทสะ โมหะ นี้แล อาวุโสทั้งหลาย ธรรม 3. ธรรม 3 นี้ วิเศษแปลกต่าง
กันอย่างไร ท่านทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว จะพึงแก้ว่ากระไร แก่พวกปริพาชก
ผู้ถือลัทธิอื่นเหล่านั้น.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญ ธรรม
ทั้งหลายของข้าพระพุทธเจ้ามีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเค้ามูล มีพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าเป็นแบบฉบับ มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย สาธุ ขอเนื้อความ
แห่งภาษิตนั้น จงแจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าเองเถิด2 ภิกษุทั้งหลายฟัง
จากพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักทรงจำไว้.
ถ้าเช่นนั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง ทำในใจให้ดี เราจักกล่าว. ภิกษุ-
ทั้งหลายรับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกปริพาชกผู้นับถือลัทธิอื่นจะพึงถามอย่างนี้ว่า
อาวุโสทั้งหลาย ธรรม 3 นี้ ฯลฯ วิเศษแปลกต่างกันอย่างไร ท่านทั้งหลาย
ถูกถามอย่างนี้ พึงแก้อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ราคะมีโทษน้อย แต่
คลายช้า โทสะมีโทษมาก แต่คลายเร็ว โมหะมีโทษมากด้วย คลายช้าด้วย.
1. นักบวชนอกพระพุทธศาสนา ถ้าเพศหญิงเรียกว่า ปริพาชิกา
2. เป็นสำนวน หมายความว่า ขอพระองค์ประทานคำตอบเองเถิด

ถ้าเขาถามต่อไปว่า ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำราคะที่ยังไม่เกิดให้เกิด
ขึ้นก็ดี ทำราคะที่เกิดแล้วให้มากยิ่งขึ้นก็ดี ? พึงแก้ว่า สุภนิมิต (อารมณ์ที่
สวยงาม) เมื่อบุคคลทำในใจ โดยไม่แยบคายซึ่งสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อม
เกิดขึ้นด้วย ราคะที่เกิดแล้วย่อมมากยิ่งขึ้นด้วย นี้แล อาวุโสทั้งหลาย เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยซึ่งทำราคะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นบ้าง ทำราคะที่เกิดแล้วให้มากยิ่งขึ้นบ้าง
ถ้าถามว่า ก็อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำโทสะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นก็ดี
ทำโทสะที่เกิดแล้วให้มากยิ่งขึ้นก็ดี พึงแก้ว่า ปฏิฆนิมิต (อารมณ์ที่ไม่พอใจ)
เมื่อบุคคลทำในใจโดยไม่แยบคายซึ่งปฏิฆนิมิต โทสะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น
ด้วย โทสะที่เกิดแล้วย่อมมากยิ่งขึ้นด้วย นี้แล อาวุโสทั้งหลาย เป็นเหตุเป็น
ปัจจัย ซึ่งทำโทสะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นบ้าง ทำโทสะที่เกิดแล้วให้มากยิ่งขึ้นบ้าง
ถ้าถามว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ทำโมหะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นก็ดี
ทำโมหะที่เกิดแล้วให้มากยิ่งขึ้นก็ดี พึงแก้ว่า อโยนิโสมนสิการ (ความทำใน
ใจโดยไม่แยบคาย ความใส่ใจอย่างไม่ฉลาด) เมื่อบุคคลทำในใจโดยไม่แยบคาย
โมหะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้นด้วย โมหะที่เกิดแล้วย่อมมากยิ่งขึ้นด้วย นี้แล
อาวุโสทั้งหลาย เป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งทำโมหะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นบ้าง ทำโมหะ
ที่เกิดแล้วให้มากยิ่งขึ้นบ้าง
ถ้าถามว่า ราคะที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้นก็ดี ที่เกิดแล้วย่อมเสื่อมไป
ก็ดี เพราะอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย พึงแก้ว่า เพราะอสุภนิมิต (อารมณ์ที่ไม่สวย
ไม่งาม) เมื่อบุคคลทำในใจโดยแยบคายซึ่งอสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อม
ไม่เกิดขึ้นด้วย ที่เกิดแล้วย่อมเสื่อมไปด้วย นี้แล อาวุโสทั้งหลาย เป็นเหตุเป็น
ปัจจัย ซึ่งทำราคะที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นบ้าง ทำราคะที่เกิดแล้วให้เสื่อมไปบ้าง
ถ้าถามว่า โทสะที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้นก็ดี ที่เกิดแล้วย่อมเสื่อมไป
ก็ดี เพราะอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย พึงแก้ว่า เพราะเมตตาเจโตวิมุตติ (ความ

หลุดพ้นแห่งใจ [จากปฏิฆะ] ด้วยเมตตา) เมื่อบุคคลที่ทำในใจโดยแยบคาย
ซึ่งเมตตาเจโตวิมุตติ โทสะที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้นด้วย โทสะที่เกิดแล้วย่อม
เสื่อมไปด้วย นี้แล อาวุโสทั้งหลาย เป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งทำโทสะที่ยังไม่เกิด
มิให้เกิดขึ้นบ้าง ทำโทสะที่เกิดแล้วให้เสื่อมไปบ้าง
ถ้าถามว่า โมหะที่ยังไม่เกิดย่อมไม่เกิดขึ้นก็ดี ที่เกิดแล้วย่อมเสื่อมไป
ก็ดี เพราะอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย พึงแก้ว่า เพราะโยนิโสมนสิการ (ความทำ
ในใจโดยแยบคาย) เมื่อบุคคลทำในใจโดยแยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิดย่อม
ไม่เกิดขึ้นด้วย โมหะที่เกิดแล้วย่อมเสื่อมไปด้วย นี้แล อาวุโสทั้งหลาย เป็น
เหตุเป็นปัจจัยซึ่งทำโมหะที่ยังไม่เกิด มิให้เกิดขึ้นบ้าง ทำโมหะที่เกิดแล้วให้
เสื่อมไปบ้าง.
จบติตถิยสูตรที่ 8

อรรถกถาติตถิยสูตร



พึงทราบวินิจฉัย ในติตถิยสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ภควํมูลกา ความว่า ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า ภควมูลกา
เพราะมีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเค้ามูล. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังต่อไปนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของพวกข้าพระองค์
เหล่านี้ อันพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้บังเกิดแล้วในกาลก่อน เมื่อ
พระองค์ปรินิพพานแล้ว ขึ้นชื่อว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ๆ จะสามารถ
ยังธรรมเหล่านี้ให้เกิดขึ้น ชั่วพุทธันดรหนึ่งไม่มีเลย แต่ธรรมเหล่านี้ของ